บุคคลที่อยู่ในสายวิชาชีพทางการบัญชีทุกคนจะต้องเตรียมความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงขององค์กรธุรกิจ และคาดหวังได้ว่าจะสามารถปรับตัวเข้าสู่สภาวะของเศรษฐกิจที่มีความหลากหลายรูปแบบของโลกแห่งความเป็นจริงขององค์กรธุรกิจได้เป็นอย่างดี ซึ่งในความเป็นจริงแล้วความเป็นไปได้ที่จะต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นต่างๆ ที่ไม่อาจคาดคิดได้นั้น เพราะฉะนั้นนักบัญชีจะต้องมีความเข้าใจถึงผลกระทบทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับการใช้งาน (Using) การประเมินผลงาน (Evaluating) และการพัฒนาระบบงาน (Developer) อย่างชัดเจน
ดังนั้น จึงต้องกำหนดหลักเกณฑ์ขึ้นใช้ในการกำกับการทำงานขึ้น โดยภายในหลักเกณฑ์จะระบุถึงคำอธิบายลักษณะเฉพาะงานที่สามารถใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติในแต่ละหน้าที่หรือในแต่ละตำแหน่งงาน ไม่ว่าใครก็ตามที่ถูกดำรงตำแหน่งใดๆ ก็สามารถที่จะปฏิบัติงานได้ และตำแหน่งงานทางบัญชีที่รู้จักกันดีก็คือ นักบัญชีการเงิน ผู้เชี่ยวชาญทางภาษี นักบัญชีต้นทุน (บริหาร) ผู้จัดการฝ่ายบัญชี ผู้ตรวจสอบบัญชีและผู้พัฒนาระบบ ซึ่งแต่ละตำแหน่งที่กล่าวมานั้น จะมีความสัมพันธ์กันในระบบสารสนเทศทางการบัญชีขององค์กร ดังรายละเอียดที่จะกล่าวต่อไป
อ้างอิง หนังสือระบบสารสนเทศทางการบัญชี (Accounting Information System)
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ อรุษ (นพฤทธิ์) คงรุ่งโชค
นักบัญชี
งานบัญชี (Accounting) เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการทางบัญชี รวมถึงการบันทึก จัดเก็บ รวบรวม และตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารทางบัญชี บันทึกรายรับรายจ่าย ตลอดจน การจัดทำรายงานทางการเงิน โดยผู้ที่ทำหน้าที่ดังกล่าว เรียกว่า “นักบัญชี” ซึ่งต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะทาง เรียนจบมาทางสายงานบัญชี และต้องมีประสบการณ์ด้านบัญชีมาพอสมควร
ผู้ที่หางานบัญชีควรเป็นผู้ที่จบการศึกษามาจากคณะต่าง ๆ ดังนี้ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี (สาขาการบัญชี) คณะเศรษฐศาสตร์ (สาขาการบัญชี) คณะบริหารธุรกิจ (สาขาการบัญชี) คณะสังคมศาสตร์ (สาขาการบัญชี) คณะวิทยาการจัดการ (สาขาวิชาการบัญชีบริหาร) คณะบริหารศาสตร์ (สาขาการบัญชี)
สาเหตุที่สายงานบัญชีไม่ได้เปิดกว้างให้กับคนที่เรียนจบมาจากสาขาอื่น เนื่องจาก งานบัญชีเป็นงานเฉพาะทาง ที่ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาของงานอย่างลึกซึ้ง ไม่สามารถฝึกหัดกันได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว เหมือนสายงานอื่น ๆ
งาน Accounting มีกี่ประเภท
งานในวิชาชีพบัญชีสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
- งานบัญชีของธุรกิจ (Private Accounting) คือ งานบัญชีทั่วไป ที่นักบัญชีรับทำให้แก่บริษัทเอกชนทั่วไป
- งานบัญชีสาธารณะ (Public Accounting) คือ งานบัญชีอิสระ ที่ผู้ทำบัญชีจะให้บริการด้านการบัญชีโดยไม่ต้องเป็นลูกจ้างของหน่วยงาน หรือองค์กรใด
- งานบัญชีของรัฐบาล (Governmental Accounting) คือ งานบัญชีที่ทำให้กับหน่วยงานรัฐบาล โดยนักบัญชี จะมีฐานะเป็นข้าราชการประจำของหน่วยงานราชการนั้น
คุณสมบัติของนักบัญชี
- นักบัญชีต้องเป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์ และเก็บรักษาความลับได้ดี เพราะนักบัญชีเป็นผู้ที่รู้ความเคลื่อนไหวทางการเงินของบริษัทอยู่ตลอดเวลา จึงไม่ควรนำเรื่องดังกล่าวมาเปิดเผย
- มีความละเอียดรอบคอบ นักบัญชีจะต้องตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารทางบัญชี และเก็บรักษาไว้ในที่ที่ปลอดภัย
- มีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับงานบัญชีอย่างเต็มเปี่ยม ทั้งภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติ โดยสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับงานได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
- เปิดรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อนำมาปรับใช้กับงานบัญชี พัฒนางานของนักบัญชีให้ทันสมัยอยู่เสมอ
- มีความรับผิดชอบต่อวิชาชีพ นักบัญชีต้องนำเสนอข้อมูลทางบัญชีที่น่าเชื่อถือ ถูกต้อง และรวดเร็ว เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการตัดสินใจ
ลักษณะของงานบัญชี
ลักษณะโดยทั่วไปของงานบัญชีที่ให้บริการกัน ได้แก่ การรับทำบัญชี การตรวจสอบบัญชี การวางระบบบัญชี การบัญชีต้นทุน การพยากรณ์ทางการเงิน การวางแผนภาษีอากร การบัญชีเพื่อการบริหาร เป็นต้น
โดยนักบัญชีจะมีหน้าที่ความรับผิดชอบหลัก ๆ ดังนี้
- ทำหน้าที่บันทึกข้อมูลทางการเงินตามระบบของการบัญชี
- ทำบัญชีรายรับ บัญชีรายจ่าย ให้กับองค์กร
- ตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารทางบัญชี
- บันทึกการจ่ายเงิน การรับเงิน และธุรกรรมทางการเงิน
- ทำงบดุล และรวบรวมรายงานการเงินตามระยะเวลาที่กำหนด
- จัดแสดงรายรับรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของบริษัท
- ทำรายงานปิดงบการเงินประจำเดือนให้กับบริษัท
การเป็นนักบัญชีมือ อาชีพ เป็นสิ่งที่ผู้ทำงานด้านบัญชีต้องฝึกฝน และพัฒนาตนเอง โดยนำมารวมกับความรู้ความเข้าใจที่ได้เรียนมา มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์กับงานบัญชี เมื่อนักบัญชีมีสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้รวมเข้าไว้ด้วยกันแล้ว การจะเป็นนักบัญชีที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถจึงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
ระบบสารสนเทศทางการบัญชี
ระบบสารสนเทศทางการบัญชี (Accounting Information System) คือ ระบบที่ใช้เพื่อการสะสม จัดเก็บ และประมวลผลข้อมูลบัญชีและการเงิน ซึ่งใช้สำหรับผู้ตัดสินใจ ระบบสารสนเทศทางการบัญชีโดยทั่วไปจะเป็นระบบบนคอมพิวเตอร์ใช้ในการตรวจสอบกิจกรรมทางการบัญชีเชื่อมโยงกับทรัพยากรทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ รายงานทางการเงินสามารถใช้ได้ทั้งภายในสำหรับผู้บริหารและภายนอกสำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ รวมไปถึง นักลงทุน ผู้จัดการสินเชื่อ และ ผู้ตรวจสอบภาษี ระบบสารสนเทศทางการบัญชีถูกออกแบบเพื่อสนับสนุนงานทางด้านบัญชีและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องรวมทั้ง การตรวจสอบ รายงานบัญชีการเงิน บัญชีสำหรับผู้บริหาร และ ภาษี ระบบสารสนเทศทางบัญชีได้ถูกพัฒนาอย่างกว้างขวางในด้านการตรวจสอบและการรายงานทางการเงิน
ข้อมูล (Data) หมายถึง ข้อเท็จจริงต่างๆที่เก็บรวบรวมไว้ เป็นเพียงสิ่งที่บอกเหตุการณ์ต่างๆที่ได้เกิดขึ้น เป็นข้อมูลดิบ
เช่น ซื้อกระดาษ 1 กล่องราคา 630 บาท, ขายคอมพิวเตอร์ได้ 1 เครื่อง ราคา 19,999 บาท เป็นต้น
เช่น ซื้อกระดาษ 1 กล่องราคา 630 บาท, ขายคอมพิวเตอร์ได้ 1 เครื่อง ราคา 19,999 บาท เป็นต้น
สารสนเทศ (Information) หมายถึง ข้อมูลที่ได้ผ่านการประมวลผลและถูกจัดให้ อยู่ในรูปที่มีความหมายและมีประโยชน์ต่อการตัดสินใจ หรือนำไปใช้งาน เช่น ยอดขายเพิ่มขึ้นหรือลดลงจากปีที่แล้ว ในอัตราร้อยละเท่าใด งบการะแสเงินสด งบดุล งบกำไรขาดทุน เป็นต้น
ระบบสารสนเทศทางการบัญชี (Accounting Information System: AIS) หเป็นระบบที่รวบรวม จัดระบบ และนำเสนอสารสนเทศทางการบัญชีที่ช่วยในการตัดสินใจแก่ผู้ใช้สารสนเทศทั้งภายในและภายนอกองค์กร โดยระบบสารสนเทศทางการบัญชีจะให้ความสำคัญกับสารสนเทศที่สามารถวัดได้ หรือ การประมวลผลเชิงปริมาณมากกว่าเชิงคุณภาพ โดยระบบสารสนเทศด้านการบัญชีจะมีส่วนประกอบหลัก 2 ส่วนคือ
1.ระบบบัญชีการเงิน (financial accounting system) คือ การจัดทำบัญชีที่อยู่ภายใต้วัฎจักรการบัญชี มีการสร้างระบบประมวลผลข้อมูลทางการบัญชีขั้นพื้นฐานของธุรกิจเริ่มตั้งแต่ การจัดเก็บรวบรวมเอกสารขั้นต้นซึ่งบรรจุรายการเปลี่ยนแปลงทางการค้า ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน มาบันทึกรายการในสมุดขั้นต้นหรือสมุดรายวันและผ่านรายการบัญชีไปยังสมุดแยกประเภท จากนั้นจึงทำการสรุปยอดคงเหลือในงบทดลองก่อนปรับปรุงรายการเมื่อสิ้นงวดเวลา บัญชีก็จะดำเนินการปรับปรุงรายการบัญชีบางประเภท หลังจากนั้นจึงจัดทำงบกำไรขาดทุนพร้อมทั้งดำเนินการปิดบัญชีกำไรขาดทุนเข้า บัญชีทุนหรือส่วนของเจ้าของและทำการปรับงบทดลองหลังปิดบัญชี บัญชีการเงินเป็นการบันทึกรายการที่เกิดขึ้นในรูปตัวเงิน จัดหมวดหมู่รายการต่าง ๆ สรุปผลและตีความหมายในงบการเงิน ได้แก่ งบกำไรขาดทุน งบดุล และงบกระแสเงินสด โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ นำเสนอสารสนเทศแก่ผู้ใช้และผู้ที่สนใจข้อมูลทางการเงินขององค์การ เช่น นักลงทุนและเจ้าหนี้ นอกจากนี้ยังจัดเตรียมสารสนเทศในการตัดสินใจของผู้บริหาร ซึ่งนักบัญชีสามารถนำเทคโนโลยีสารสนเทศใช้ในการประมวลข้อมูล โดยจดบันทึกลงในสื่อต่าง ๆ เช่น เทปหรือจานแม่เหล็ก เพื่อรอเวลาสำหรับทำการประมวลและแสดงผลข้อมูลตามต้องการ
บัญชีการเงิน ประกอบด้วยกิจกรรม
1.1 รวบรวมรายการค้า
1.2 จำแนกประเภทและใส่ รหัสบัญชี
1.3 บันทึกรายการในสมุดรายวัน
1.4 ผ่านรายการบัญชีไปยังบัญชีแยกประเภทที่เกี่ยวข้อง
1.5 จัดทำงบทดลอง
1.6 จัดทำงบการเงิน
1.1 รวบรวมรายการค้า
1.2 จำแนกประเภทและใส่ รหัสบัญชี
1.3 บันทึกรายการในสมุดรายวัน
1.4 ผ่านรายการบัญชีไปยังบัญชีแยกประเภทที่เกี่ยวข้อง
1.5 จัดทำงบทดลอง
1.6 จัดทำงบการเงิน
2.ระบบบัญชีบริหาร (managerial accounting system) บัญชีบริหารเป็นการนำเสนอข้อมูลทางการเงินแก่ ผู้บริหาร เพื่อใช้ในการตัดสินใจทางธุรกิจ ระบบบัญชีจะประกอบด้วย บัญชีต้นทุน การงบประมาณ และการศึกษาระบบ การนำข้อมูลบัญชีการเงินมาทำการจัดรูปแบบและประมวลผลเพื่อให้ได้รายงานตามความต้องการของผู้ใช้ รูปแบบของรายงานไม่ได้กำหนดตายตัวขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้ หรือผู้บริหารระดับต่างๆ ขององค์กรโดยส่วนใหญ่มักอยู่ในรูปแบบของรายงานผลการดำเนินงานโดยมีลักษณะสำคัญคือ
- ให้ความสำคัญกับการจัดการสารสนเทศทางการบัญชีแก่ผู้ใช้ภายในองค์กร
- ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานในอนาคตของธุรกิจ
- ไม่ต้องจัดทำสารสนเทศตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป
- มีข้อมูลทั้งที่เป็นตัวเงินและไม่เป็นตัวเงิน
- มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับให้สอดคล้องกับความต้องการของการใช้งานได้
ส่วนประกอบของระบบสารสนเทศทางการบัญชี
1.เป้าหมายและวัตถุประสงค์ ( Goals and Objectives )
2.ข้อมูลเข้า ( Inputs ) เช่น ยอดขายสินค้า ราคาขายของกิจการ ราคาขายของคู่แข่งขัน ยอดขายของคู่แข่งขัน เป็นต้น
3.ตัวประมวลผล ( Processor ) คือ เครื่องมือที่ใช้ ในการแปลงสภาพจากข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ เช่น การคำนวณ การเรียงลำดับ
การคิดร้อยละ การจัดหมวดหมู่ การจัดทำกราฟ จัดทำรายงาน เป็นต้น
4. ข้อมูลออก ( Output ) คือ สารสนเทศที่มีประโยชน์ต่อผู้ใช้
5. การป้อนกลับ ( Feedback)
6. การเก็บรักษาข้อมูล ( Data Storage )
7. คำสั่งและขั้นตอนการ ปฏิบัติงาน ( Instructions and Procedures )
8. ผู้ใช้ ( Users)
9. การควบคุมและรักษา ความปลอดภัยของข้อมูล ( Control and Security Measures )
1.เป้าหมายและวัตถุประสงค์ ( Goals and Objectives )
2.ข้อมูลเข้า ( Inputs ) เช่น ยอดขายสินค้า ราคาขายของกิจการ ราคาขายของคู่แข่งขัน ยอดขายของคู่แข่งขัน เป็นต้น
3.ตัวประมวลผล ( Processor ) คือ เครื่องมือที่ใช้ ในการแปลงสภาพจากข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ เช่น การคำนวณ การเรียงลำดับ
การคิดร้อยละ การจัดหมวดหมู่ การจัดทำกราฟ จัดทำรายงาน เป็นต้น
4. ข้อมูลออก ( Output ) คือ สารสนเทศที่มีประโยชน์ต่อผู้ใช้
5. การป้อนกลับ ( Feedback)
6. การเก็บรักษาข้อมูล ( Data Storage )
7. คำสั่งและขั้นตอนการ ปฏิบัติงาน ( Instructions and Procedures )
8. ผู้ใช้ ( Users)
9. การควบคุมและรักษา ความปลอดภัยของข้อมูล ( Control and Security Measures )
หน้าที่ของระบบสารสนเทศทางการบัญชี
1. การรวบรวมข้อมูล ( Data Collection )
2. การประมวลผลข้อมูล ( Data Processing )
3. การจัดการข้อมูล ( Data Management )
4.การควบคุมข้อมูล และรักษา ความปลอดภัยของข้อมูล
( Data Control and Data Security )
5. การจัดทำสารสนเทศ ( Information Generation )
1. การรวบรวมข้อมูล ( Data Collection )
2. การประมวลผลข้อมูล ( Data Processing )
3. การจัดการข้อมูล ( Data Management )
4.การควบคุมข้อมูล และรักษา ความปลอดภัยของข้อมูล
( Data Control and Data Security )
5. การจัดทำสารสนเทศ ( Information Generation )
ลักษณะของสารสนเทศที่มีประโยชน์ในการตัดสินใจ
1. เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ
2. ถูกต้องเชื่อถือได้
3. สมบูรณ์ครบถ้วน
4.ทันเวลา
5. แสดงเป็นจำนวนได้
6. ตรวจสอบความถูกต้องได้
7. สามารถเข้าใจได้
8. สามารถเปรียบเทียบได้
1. เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ
2. ถูกต้องเชื่อถือได้
3. สมบูรณ์ครบถ้วน
4.ทันเวลา
5. แสดงเป็นจำนวนได้
6. ตรวจสอบความถูกต้องได้
7. สามารถเข้าใจได้
8. สามารถเปรียบเทียบได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น